“พระอุ้มหมา ชีอุ้มแมว”
หนึ่งใน เรื่องผี ที่เป็นข่าวลือเล่าขานกันมาแต่ช้านาน… นั้นก็คือเรื่องของผีประเภทหนึ่งที่เล่ากันว่าจะมีพระอุ้มสุนัขสีดำ และแม่ชีอุ้มแมวสีดำ เดินคู่กันไปเรื่อยๆ ตามบ้านต่างๆ พร้อมกับร้องเรียกคนไปทั่ว ถ้าใครขานรับหรือสบตาคนคนนั้นก็จะตาย ผู้ที่ตายจากการที่ได้เคยคุยกับพระและชีคู่นี้เมื่อนำศพไปชันสูตรก็จะพบว่าอวัยวะภายในกลายเป็นของเหลวเละ เน่าเหม็น หรือหายไปอย่างไรร่องรอย ทำให้เกิดความเชื่อต่อกันมาว่า พระอุ้มหมาและชีอุ้มแมว คู่นั้นคือ ปอบ
ในทางภาคอีสานนั้นมีความเชื่อเรื่อง”ผีปอบ” กันมาตั้งแต่ยุคโบราณ คนที่เลี้ยงผีปอบไว้ก็คือหมอผีที่เล่นมนต์ดำหรือไสยศาสตร์ ถือว่าเป็นอวิชา ตามคำเล่าลือมาตั้งแต่ยุคคนเฒ่าคนแก่ว่า ในหมู่บ้านหนึ่งจะมีพระอุ้มหมาสีดำ และแม่ชีอุ้มแมวสีดำ เดินเข้าไปในหมู่บ้านหากใครขานรับจะมีอันเป็นไป พระอุ้มหมา ชีอุ้มแมว จะเดินไปเคาะตามประตูบ้านหากใครเปิดรับก็จะเสียชีวิตทันที และเมื่อมีการชันสูตรศพก็พบว่าอวัยวะภายในหายไปหมด คนเฒ่าคนแก่จึงเชื่อกันว่า พระอุ้มหมา ชีอุ้มแมวนั้น เป็นปอบนั่นเอง และปอบนั้นมีต้นกำเนิดมาจากผู้ที่มีอวิชาทางไสยศาสตร์ที่มีความแก่กล้าอาคม สามารถที่จะไปทำร้าย หรือทำลายชีวิตผู้อื่นได้ เช่นการทำสเน่ห์ เสกหนังควาย หรือใช้มนตราบังวิญญาณให้ไปเข้าสิงผู้อื่นได้
ไสยศาสตร์นั้นมีข้อบังคับข้อปฎิบัติอยู่ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงระบุไว้ว่า ไสยศาสตร์ถือเป็นเดียรัจฉานวิชาห้ามละเมิดข้อปฎบัติโดยเด็ดขาด และหากละเมิดข้อบังคับปฎิบัติแล้วนั้น บรมครูจะลงโทษให้ผู้นั้นกลายเป็นปอบ หรืออีกกรณีหนึ่งคือชอบเล่นไสยศาสตร์ไปทำร้ายผู้อื่นอย่างไม่กลัวบาป คาถาอาคมไสบเวทย์จะย้อนกลับเข้าตัวผู้นั้นและกลายเป็นปอบในที่สุด และอาหารของผีปอปนั้นจะเป็นอาหารสุกๆดิบๆ เช่นตับหมู ตับไก่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นก็เป็นคำเล่าลือต่อๆกันมา ซึ่งโด่งดังมากในช่วงปี 2541
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น